News and Reserch

ไขมันสูงเต็มคาราเบล!!

วันนี้ได้คุยกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่มาปรึกษาเรื่อง การทานอาหารแบบ คีโต และพบว่าไขมัน LDL ขึ้นเป็น 197 มก/ดล.​จากเดิมที่ LDL อยู่ราว ๆ 120-130 มก/ดล. สิ่งที่เพื่อนทำ คือ ต้องการลดน้ำหนัก จาก 80 กว่า กก. เหลือแบบผอม ๆ เลย โดยน้ำหนักลดลงดีครับ น้ำตาลในเลือดลดลงจาก 95 เป็น 82 มก/ดล. โดยในส่วนของการทำ คีโตดูเหมือนจะเป็นการไม่กินข้าวเลย หรือเข้าใกล้ no carb diet

นอกจากนี้เพื่อนท่านนี้ยังลดการทานอาหารลงเหลือวันละมื้อ (intermittent fasting)

ผลที่ตามมาคือทำให้ระดับ LDL ในเลือดเพิ่มสูงขึ้นครับ ผมมีความเห็นจากประสบการณ์ที่ทำด้านนี้มาหลายปีครับ

1. การทานอาหารคีโตเจนิก โดยทั่วไป แนะนำให้ทานคาร์โบไฮเดรต ได้ แต่ไม่ควรเกิน 50 กรัม หรือ ไม่ควรเกิน 10%ของพลังงานในอาหารต่อวัน ดังนั้นในบางคนน้ำหนักมาก ๆ เช่น หนัก 120 กก. การทานคีโตของเค้า อาจจะมีคาร์บได้สูงถึง 50-80 กรัมเลยก็ได้ เพราะ 10% ของแต่ละคนไม่เท่ากัน

บทความนี้ ให้หลักการไว้ว่า ขอแค่ร่างกายทานปริมาณแป้งที่ลดลงมาก แล้วเกิดสารคีโตน ก็เรียกว่า คีโตเจนิกได้ โดยแป้งไม่ต้องเป็น 0

ผู้เชี่ยวชาญจาก American College of Lifestyle Medicine แนะนำให้ระมัดระวังเรื่องการทำ low-carb diet เนื่องจากไม่ทราบความเสี่ยงระยะยาว

2. คนที่ไขมันสูงจากการทานคีโตส่วนหนึ่งเกิดจาก

2.1 ไม่มีใยอาหารจากข้าว แป้ง ผลไม้ไม่หวานเช่น ฝรั่ง แอบเปิ้ล ไปช่วยชะลอการดูดซึมไขมันในลำไส้ และอาจจะส่งผลต่อ probiotics และ prebiotics หรือ แม้แต่ synbiotics ซึ่งสัมพันธ์กับไขมันในเลือดที่ผิดปกติได้

2.2 หลาย ๆ ท่านกินอาหารแป้งน้อย คีโต ร่วมกับการอดอาหาร ทำให้ไขมันในเลือด และบางคนมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง กว่าตอนไม่อดอาหาร IF ทำให้ร่างกายทานเพียงวันละไม่กี่มื้อ ซึ่งผมยังหากข้อสรุปไม่ได้ แต่พบว่าการกลับมาทานอาหารสมดุล วันละ 2-3 มื้อจะทำให้ไขมันในเลือดควบคุมได้ดีกว่า และ IF ในหลายคนทำให้เกิดลักษณะ dawn phenomenon คือน้ำตาลในเลือดตอนเช้าสูง

2.3 ส่วนกรณีที่เราเอาอัตราส่วนของไขมันรวม หารด้วย HDL นั้น ก็เป็นเรื่องที่หาข้อสรุปลำบาก เนื่องจากปัจจุบันการตรวจ lipid particle size เพื่อบอกว่าเรามีไขมันในเลือดสูง แต่เป็นไขมันดีนั้น ทำไม่ได้ในประเทศไทย (ซึ่งกรณีนี้ใน lab ผม เรากำลังประสานงานโดยใช้เครื่อง NMR วิเคราะห์เรื่องนี้) ดังนั้นผมจึงมักแนะนำว่า สำหรับคนที่ทำคีโตแล้วไขมันสูง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อหลอดเลือดหัวใจในอนาคตครับ